แพตรีนำยิ้มใสแห่งธรรมะอันไร้มลทินขึ้นมาแสดงกตัญญุตา กราบปู่ชนะบนเรือน เธอนั่งพับเพียบเรียบร้อยข้างเก้าอี้โยกของชายชราผู้ประคบประหงมเลี้ยงดูเธอมาทั้งทางโลกและทางธรรม ยกมือขึ้นพนม แล้วน้อมกายก้มลงเอาหน้าผากแตะหลังเท้าท่าน แบมือกราบ ดึงตัวขึ้นแล้วก้มกราบใหม่จนครบ ๓ รอบอย่างแช่มช้อย ด้วยเจตนากราบพระ
ชายชราผู้ผ่านโลกผ่านธรรมมาเจนจบ เห็นความอาภาเรืองรอง กว้างขวางไม่มีประมาณในหลานสาว ก็ทราบตั้งแต่วาระแรกที่สัมผัสว่าเกิดอะไรขึ้น
“ยินดีด้วยนะ… เหลียนซิ่น”
ท่านเอ่ยเรียกหลานสาวด้วยนามในอดีตเป็นครั้งแรก ให้สอดคล้องกับโอกาสแห่งธรรมาภิสมัย อันมีรากมาจากสัตยาธิษฐานของแม่ชีเหลียนซิ่น
หญิงสาวพนมมือไหว้ท่านอีกครั้ง
“หนูกราบขอบพระคุณปู่ด้วยชีวิต!”
เธอหมายความตามนั้น เธอตายแทนท่านได้โดยไม่ลังเลแม้แต่พริบตา
“เอาเถอะ! ไม่ต้องอะไรมากหรอก การชุบเลี้ยงหนูมาจนคำอธิษฐานเก่าสัมฤทธิ์ผล ก็เป็นหนึ่งในความสุขที่สุดของปู่แล้ว”
ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบ อย่างจะสัมผัสธรรมที่กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสนิท แสนสุข แสนสบาย
นานเกือบนาที กระทั่งผู้มีธรรมอาวุโสเป็นฝ่ายกล่าว
“ไปเถอะ! เดี๋ยวกำลังจะมีคนทางโลกส่งเสียงแสดงความยินดีมาถึงหนู”
แพตรีมองผู้มีอุปการคุณสูงสุดในชีวิตด้วยความงุนงงสงสัยเล็กน้อย แต่ก็เชื่อท่าน เพราะที่ผ่านมา อยู่ๆถ้าท่านบอกอะไรล่วงหน้าเองแบบนี้ ไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง
พนมมือไหว้ท่านอีกรอบ ก่อนลุกขึ้นลงเรือนไป แต่ยังไม่ทันพ้นบันได เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
พอเห็นชื่อผู้โทร.เป็น ‘พี่เต้’ ก็ใจเต้นนิดหนึ่ง ก่อนนิ่งสงบลงเป็นอุเบกขา เธอไม่รับทันที ต่อเมื่อเดินมานั่งที่เก้าอี้หินหลังบ้านจึงกดปุ่มยกหู แล้วแนบโทรศัพท์ฟังเงียบๆ ไม่เป็นฝ่ายทักเขาก่อนตามธรรมเนียม
“ฮัลโหล! แพ…”
เขาทักมาเสียงร่าเริง
“ค่ะ…”
เธอตอบเรียบๆ แต่กระแสโลกุตตรธรรมที่กำลังเบ่งบานอย่างใหญ่ยิ่ง เสถียรยิ่ง ประณีตยิ่ง รู้ตื่นแจ่มแจ้งยิ่ง ปนไปกับแก้วเสียงโปร่งใสสะอาดหมดจด จนเกาทัณฑ์สัมผัสได้
“ว้าว! อะไรเนี่ย?”
แพตรีปิดตาช้าๆ นึกไม่ชอบเสียงของคนรู้มากขึ้นมา เกือบๆเรียกได้ว่ารำคาญ
“พี่เต้มีอะไรคะ?”
“พี่น่ะไม่มีหรอก…” หางเสียงละห้อยน้อยใจ “แต่คนนี้สิ…”
“สวัสดีจ้ะแพ!”
อีกเสียงแทรกมา แสดงว่าต้นสายเปิดสปีกเกอร์โฟนอยู่
“สวัสดีค่ะพี่แอ้” น้ำเสียงแพตรีดีขึ้น ส่อชัดว่าถูกโฉลกกับฝ่ายหญิงมากกว่าฝ่ายชาย “ร่างกายโอเคไหม?”
“ปรับได้ แล้วก็รับได้แล้วนะ”
สำเนียงเสียงนั้นเป็นสุขจนถ้าไม่บอกก็ไม่มีทางรู้ว่าเจ้าตัวเพิ่งเสียแขน แพตรีฟังแล้วยิ้มๆอย่างทราบดีว่า เป็นเพราะได้รับการโอบอุ้มค้ำชูจากชายผู้มีอ้อมกอดอบอุ่นที่สุดในโลก
“พี่เต้ดูแลดีนะ?”
“ดีมาก!” แล้วเธอก็เข้าเรื่อง “คิดถึงแพอ้ะ เราเจอกันสองครั้ง แต่เหมือนเป็นพี่น้องกันมานานเลย”
“ค่ะ! คิดถึงพี่แอ้เหมือนกัน”
แพตรีตอบตามความรู้สึกที่เพิ่งเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่แค่แลกเปลี่ยนคำดีๆตามมารยาท
“ถ้าพี่วิ่งไปหาได้ ก็จะวิ่งไปหานะ แต่ช่วงนี้พี่ไปไหนไม่ได้ แพจะมาเยี่ยมพี่บ้างได้ไหม?”
ฝ่ายถูกขออึกอัก แต่แล้วก็แบ่งรับแบ่งสู้ เพื่อเห็นแก่ผู้พิการที่อาจจะยังอยู่ในช่วงต้องการกำลังใจ
“ถ้ามีโอกาสจะเข้าไปนะคะ”
“ยังไงเราก็คบกันแบบพี่น้องได้ใช่ไหมแพ?”
เรือนแก้ววิงวอนเสียงหวาน
“สำหรับพี่แอ้ แพว่าได้นะคะ”
“อ้าว! พูดแบบนี้เอาพี่ไปทิ้งทะเลเลยดีกว่า” เกาทัณฑ์ร้องแทรกขึ้นมาเสียงหลง “เอาไหม? เดี๋ยวเรียกเรือมารับเย็นนี้เลย”
มีเสียงเรือนแก้วหัวเราะขำมาให้ได้ยิน ขณะที่แพตรีทำหน้าเฉยแบบที่รู้ว่า เป็นการส่งความรู้สึกเย็นชาไปให้เกาทัณฑ์สัมผัสได้
“หญิงชายคบกันเป็นพี่เป็นน้องยากค่ะ ถ้าตั้งต้นมาไม่บริสุทธิ์ใจ”
“ไม่บริสุทธิ์ก็ไม่เป็นไร! พี่ไม่ว่า” เรือนแก้วออกโรงเอง ด้วยการพูดกลั้วหัวเราะขำๆ สบายๆ “วันนี้วันหยุด แพว่างไหมจ๊ะ? พลีส!”
มีความไม่อยากปฏิเสธคนเพิ่งเสียแขน แต่ขณะเดียวกันก็ตะขิดตะขวงใจกับการไปพบหวานใจในอดีตเป็นอย่างยิ่ง
“คือ…”
“ขอบคุณมากจ้ะ พี่จะตั้งตารอนะ… แต่เอาจริงๆช่วงนี้ถ้าต้องรอนาน พี่จะร้องไห้น้อยใจง่ายหน่อย แพน่าจะรู้แหละ”
เสียงรบเร้านั้นไม่น่ารำคาญเลย ตรงข้าม กลับจะทำให้แพตรีใจอ่อน เทียบเท่ากับได้รับการร้องขอจากผู้เป็นสุดที่รักเช่นพี่สาวแท้ๆ
“เดี๋ยวไปนะคะ”
“เย้!”
“แพ…” เกาทัณฑ์เอ่ยนุ่มนวล เป็นมิตรยิ่ง “ถ้าเป็นอย่างที่พี่คิด ก็อนุโมทนาสาธุการนะ!”
ใจหนึ่งของแพตรี ก็นึกอยากขอบคุณเกาทัณฑ์และเรือนแก้ว เพราะทั้งสองคือเครื่องกระทบใจอันดับหนึ่ง มีผลสำคัญที่ช่วยปลดล็อกความอาลัยอาวรณ์ในชีวิตคู่เสียได้
มาตระหนักลึกซึ้งว่าองค์มรรคข้อที่ ๒ อันได้แก่ความดำริออกจากวงจรการเบียดเบียน ความพยาบาท และกามารมณ์ มีบทบาทขนาดไหนกับการบรรลุธรรม ก็เมื่อเธอรู้รสของการมีใจจริงสละออก
ตลอด ๗ วันที่ผ่านมา อารมณ์โหยหาความรักหายไป แม้เกิดขึ้นวูบๆวาบๆก็แผ่วจนไม่รบกวนสมาธิจิต เพราะพื้นความรู้สึกคือไม่เอาแล้ว ยกให้คนอื่นไปแล้ว ดังนั้น จึงเป็น ๗ วันแรกที่เธอเดินมรรคได้เต็มกำลัง กระทั่งตีแตก เข้าเส้นชัยแรกได้ในที่สุด
อารมณ์อยากขอบคุณผู้มีบทบาทอ้อมๆกับความสำเร็จขั้นแรก พาตัวแพตรีมาเคาะประตูห้องพักผู้ป่วยของเรือนแก้วอีกครั้ง
“เชิญค่า”
เกาทัณฑ์นั่งในรถเข็นอยู่ทางหนึ่ง มองมาเขม็ง แต่แพตรีไม่สนใจ ไม่สานตาสบด้วย หันไปเล็งแลร่างปลายแขนซ้ายขาดของเรือนแก้ว ที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียง ดูมีสีหน้าสีตาสดใสแล้ว
แพตรีนำถุงผ้าสีขาวนวลลายดอกหญ้ามาวางไว้ที่โต๊ะหัวเตียงคนไข้ ก่อนยกมือไหว้สวัสดีทั้งสองทีละคน ด้วยใจรู้สึกขอบพระคุณเงียบๆ
“ขยันเอาอะไรมาฝากพี่อีกแล้ว”
“โมบายทำมือกลิ่นอายชนบทค่ะ” แล้วเธอก็หยิบของแขวนประดับขนาดเล็กออกจากถุงมาอวด ก่อนชี้ไปที่ราวม่านใกล้หัวเตียง ซึ่งที่มีที่ว่างพอดีสำหรับสิ่งนั้น “แขวนไว้ตรงนี้ได้ไหม?”
“รักเลย!” เรือนแก้วยิ้มบางๆ “วันที่พี่รู้สึกไม่โอเค จะสูดลมหายใจลึกๆ แล้วคิดว่าเป็นกลิ่นนางฟ้านะ”
โมบายทำมือนั้น ถักจากเชือกฝ้ายกับก้านไม้อ่อน ใช้เปลือกไม้แห้งร้อยเรียง ตกแต่งด้วยเมล็ดพืชพื้นบ้าน แล้วก็เพิ่มกลีบดอกเก๊กฮวยอบแห้งกับเศษใบฝรั่งอ่อน หอมเหมือนทุ่งหญ้าช่วงฤดูใบไม้ผลิ เป็นกลิ่นที่เรือนแก้วนึกชอบขึ้นมาจริงๆ
เมื่อเกาทัณฑ์เห็นเช่นนั้นก็บ่น
“ทำไมพี่ไม่เคยได้รับของฝากจากแพบ้าง?”
แพตรีทำเป็นไม่ได้ยิน รักษาสายตามองเรือนแก้วอย่างอ่อนโยน
“ย้ำนะคะ ถ้าพี่แอ้อยากได้อะไรโทร.บอกแพได้ตลอด พร้อมจัดให้ได้ทุกอย่างจริงๆ”
“อื้อม์!” เกาทัณฑ์ลากเสียงสูง พลางพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ “ต่อไปท่าทางจะสนิทกันมาก”
เรือนแก้วหัวเราะ แล้วจับตาพินิจกรอบหน้ากระจ่างของแพตรีครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย
“พี่อ่านอะไรไม่ออก แต่บอกได้อย่างหนึ่งว่าแพต่างไปนะ แค่ไม่กี่วัน”
เกาทัณฑ์สอดขึ้นมาอีก
“พวกเรามันชาวนา ส่วนแพเขาเป็นคุณหนูบ้านขาวไปแล้ว”
“หมายความว่ายังไงคะ?”
เรือนแก้วเหลียวไปหาแฟนหนุ่มด้วยความไม่แน่ใจในข้อความเปรียบเปรยกำกวมนั้น
“อย่าไปสนใจเลยค่ะพี่แอ้” แพตรีรีบบอก “สำนวนเหมือนคนแก่ เกิดมาไม่เคยได้ยิน อะไร… คุณหนูบ้านขาว”
เรือนแก้วหัวเราะเบาๆ เกาทัณฑ์เอ่ยทื่อๆแบบขวานผ่าซาก
“แพได้โสดาฯแล้วใช่ไหมล่ะ?”
แพตรีตกใจ เบิกตานิดๆอย่างนึกไม่ถึงว่าเขาจะทักอะไรแบบนั้น ส่วนเรือนแก้ว แม้รู้แค่งูๆปลาๆว่า ‘โสดาบัน’ คือบุคคลที่ประสบความสำเร็จแบบพุทธ แต่ไม่รู้ว่าประสบความสำเร็จแบบไหนอย่างไร เธอก็ตื่นเต้นไปด้วยแล้ว
“จริงหรือนี่?”
สาวน้อยผู้ตกเป็นเป้าความสนใจนิ่งเงียบไม่ตอบ เกาทัณฑ์จึงยิ้มให้ และเอ่ยด้วยสำเนียงแบบคนวงใน รู้ลึก รู้จริง
“ไม่เห็นต้องปิดบังเลย ให้พี่กับแอ้แสดงความยินดีด้วยเถอะ เมื่อกี๊ระหว่างแพเดินทางมา พี่โทร.ไปถามปู่ ขอคำยืนยันเรียบร้อยแล้ว”
ขณะนั้น เสียงมือถือของเกาทัณฑ์ดังขึ้น ชายหนุ่มยกขึ้นกดรับ
“สวัสดีครับ... อ๋อ! ได้ครับ” กดวางแล้วหันมาบอกสองสาวว่า “ท่านรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองฯมาขอคุยด้วย ตอนนี้มาถึงโรงพยาบาลแล้ว”
“เต้เคยไปที่นั่นสองรอบแล้วไม่ใช่เหรอ คราวนี้มาถึงที่เลย?”
“รอบก่อนๆผมหอบหลักฐานชุดใหญ่ไปอธิบายให้ผู้อำนวยการฟังเต็มรูปแบบ แต่รอบนี้เป็นท่านรองฯขอคุยเป็นการส่วนตัว แบบไม่มีการบันทึก เอาจริงๆเขาแค่อยากแน่ใจว่าเรามีมาตรการอย่างไร ให้มั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดเรื่องอีก”
“ทำไมรู้สึกเหมือนต้องคุยไม่จบไม่สิ้น มากดดันให้เราย้ายถิ่นฐานออกจากประเทศหรือเปล่า?”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ท่านรองฯอยากมาคุยของท่านเอง แบบว่าท่านก็ต้องมีบทบาทแหละนะ”
แล้วเกาทัณฑ์ก็พยักหน้ายิ้มให้สองสาว ก่อนบังคับรถเข็นให้เคลื่อนออกจากห้องไป ปล่อยพวกเธอให้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
แพตรีมานั่งบนโซฟา เรือนแก้วมองสบตาด้วยแววเป็นมิตร เมื่อเหลือสองคน ความรู้สึกที่แท้จริงระหว่างกันก็เปิดเผยโดยปราศจากตัวแปรอื่น
“ไม่รู้ทำไม แต่พี่อยากคบแพต่อแบบพี่แบบน้องจริงๆ”
สำเนียงเสียงนั้นเว้าวอนแบบเดียวกับที่พูดทางโทรศัพท์ แค่รอบนี้ยืนยันความบริสุทธิ์ใจซ้ำต่อหน้า
แพตรีสบตาตอบด้วยแววเป็นมิตรชนิดเดียวกัน
“แพก็รู้สึกดีมากๆกับพี่แอ้ค่ะ”
“ถึงเธอจะเป็นคนเข้าใจยาก และพี่อาจไม่มีวันเข้าใจเธอตลอดไป แต่สิ่งหนึ่งที่รับรู้ คือเจอเธอแล้วเหมือนพี่เข้าไปอยู่ในโลกอีกใบ และพี่ก็อยากรู้จักโลกใบนั้นให้ดีขึ้น”
“ค่ะพี่แอ้ สังสารวัฏแค่จัดฉากให้เรารู้จักกัน เพื่อจะได้แลกเปลี่ยนบางสิ่ง สำหรับแพ เจอพี่แอ้คือเจอทางออก”
เรือนแก้วหัวเราะแบบยังงงไม่เสร็จ
“เธอหมายถึงทางออกที่จะเอาเต้ออกไปจากชีวิต?”
“ค่ะ!”
“อันนี้พี่เอ๋อจริงๆนะ เธออยากเขี่ยเต้ทิ้งขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ก็ไม่ได้อยากจะเขี่ยทิ้งนะคะ แค่รู้สึกว่าไม่เอาแล้วดีกว่า”
“จริงๆนา… ทั้งหล่อละลาย ทั้งคุยรู้เรื่อง ทั้งเก่งหลุดโลก ทั้งรวยด้วยตัวเองแบบเต้นี่ แม้แต่หญิงรักหญิงยังต้องเปลี่ยนใจ… ถามหน่อยเถอะ เธอให้พี่มาง่ายๆ ไม่เสียดายเหรอ?”
“เหมือนอยากไปให้ถึงดวงดาวน่ะค่ะ ถ้ามัวเสียดายคนบนโลกก็ไม่มีทางไปได้ถึง”
“อะฮ้า!” เรือนแก้วฟังแล้วว้าว แต่ขณะเดียวกันก็ย่นคิ้วอย่างจินตนาการไม่ถูก “ดวงดาวของเธอหน้าตาเป็นยังไงพี่นึกไม่ออก แต่ช่างเถอะ ในมุมมองของเธอ คงต้องดีกว่าเต้แน่ๆ”
“ค่ะ!”
แพตรีตอบกลับสั้นๆแล้วเงียบไป แต่คำเดียวแค่นั้น ราวกับศูนย์รวมถ้อยคำนับพันไว้
เรือนแก้วมองร่างงามที่ฉายรัศมีเรืองรองกระจ่าง รู้สึกเหมือนร่างนั้นเป็นพระอาทิตย์แห่งความสุข ที่ขับไล่ความทุกข์ออกจากใจคนใกล้ได้
“ค่ะคำเดียวนี่ฟังมีความหมายมากเลยนะ อย่างน้อย พี่ก็รู้สึกถึงความสุขเกินธรรมดา ที่ทำให้เธอขี้เกียจพูด”
แพตรียิ้มตาเป็นประกายขำเล็กๆ
“ความสุขบางอย่าง ห้ามพูดค่ะ แต่ถ้าเงียบเสียงแล้วตั้งใจฟังดีๆ บางทีจะได้ยินชัดกว่าคำพูดเยอะ”
“อือ… ความสุขที่ล้นออกมาจากจิตเธอ เหมือนภาพที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าเลย ถ้าคนโง่ๆเซ่อๆอย่างพี่จะเข้าใจธรรมะได้บ้าง ก็คงต้องอาศัยกระแสสุขจากใครสักคนแบบเธอ มาช่วยเปิดใจให้เป็นสุขตามได้ทันทีที่อยู่ใกล้แบบนี้ก่อน”
“แพยังไม่สิ้นทุกข์ค่ะ มีความสุขบ้าง แต่น้อยเหมือนน้ำบ่อ ต่างกันมากจากความสุขที่เต็มบริบูรณ์เหมือนน้ำในมหาสมุทรแบบพระอรหันต์”
“ไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก พี่กำลังอิน ไหนบอกหน่อย ถ้าจะมีความสุขแบบเธอต้องทำไง?”
“ภาวะสุขที่ล้นหลามแบบนี้ มีขึ้นหลังจิตพบพระนิพพานค่ะ เท่าที่ฟังจากปู่เล่าไว้ก่อน จะคงอยู่นานหนึ่งวันบ้าง สามวันบ้าง เจ็ดวันบ้าง แล้วแต่คน”
“แล้วทำยังไงถึงจะพบพระนิพพาน?”
“อือม์… อันนี้ตอบสั้นๆไม่ได้แล้วค่ะ”
“ถ้ามือใหม่อยากเริ่มต้น ต้องจับจุดจากตรงไหน เข้าใจอะไรก่อน?”
“จับจุดให้ได้ว่า จิตของเรากำลังยึด กำลังเกาะเกี่ยวกับอะไรเหนียวแน่นที่สุดอยู่ค่ะ”
“ก็เต้น่ะสิ จะอะไร”
“คำนวณถูกไหมคะว่า จะรู้สึกยังไง ถ้าพี่เต้โทร.มาขอเลิก?”
แค่คำสมมุติตื้นๆ ก็มีผลให้รู้สึกเหมือนหน้าอกยุบฮวบราวกับถูกดูดด้วยหลุมดำมหึมาสาหัส
“สมมุติแรงจัง หน้ามืดจนตอบไม่ถูกเลยอ้ะ”
“งั้นลดความรุนแรงลงหน่อย สมมุติให้พี่แอ้ไม่เป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่มีคุณหมอเดินเข้ามาแจ้งข่าวร้าย พี่เต้บาดเจ็บแทรกซ้อนจากซี่โครงหัก เกิดภาวะอกรวน ผนังทรวงอกเคลื่อนไหวผิดปกติ ส่งผลให้ระบบหายใจล้มเหลว ช็อกตายกะทันหัน พี่แอ้นั่งฟังข่าวอยู่บนเตียงนี้แบบทำอะไรไม่ได้นอกจากรับฟัง นึกออกไหมว่า จะเกิดอะไรกับใจตัวเอง?”
ทีแรกเรือนแก้วหัวเราะ ทว่าการลงรายละเอียดของแพตรี ก่อภาพในหัวแจ่มชัด จนขณะจิตหนึ่งนึกว่าเป็นเรื่องจริง เลยน้ำตาไหลออกมาปุบปับ
“จะเกิดอะไร ก็ร้องไห้น่ะสิ”
ว่าแล้วก็ร้องจริง ปล่อยโฮออกมา แต่ไม่ยืดยาวนัก เพราะมีสติรู้อยู่ว่าเป็นแค่เรื่องสมมุติ แล้วก็หัวเราะขำตัวเองที่ดูตลกน่าสมเพชในช่วงเปราะบาง อ่อนไหวจัด
“นั่นแหละค่ะ…” แพตรีเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระจ่างใส “ถ้าจะจับจุดให้แม่นว่า แก่นของพุทธศาสนาอยู่ตรงไหน ก็จับกันที่จิตนี่แหละ ตราบใดจิตยังหลงยึด ตราบนั้นจิตยังพร้อมทุกข์ พร้อมร้องไห้ไปเรื่อยๆกับเรื่องไม่คาดฝันแบบนี้ทุกชาติไป นับชีวิตไม่ถ้วน”
เรือนแก้วสะอึก เหมือนเรื่องที่รู้ๆอยู่แล้ว ถูกขยายใหญ่โต เห็นถนัดกว่าเดิมมาก
“เธอพูดเหมือนเป็นความผิดร้ายแรง ที่จะยึดอะไรสักอย่าง หรือรักใครสักคน”
“สำหรับผู้ปรารถนาสุขทางโลก การปล่อยใจให้ยึดเหนี่ยวใครบางคนไว้เป็นที่ตั้งของความสุข นับว่าถูกต้องค่ะ… แต่สำหรับผู้ปรารถนาความพ้นทุกข์ทางธรรม ความผิดขั้นอุกฉกรรจ์เดียวที่ลากจูงความผิดทั้งปวงตามมา คือผิดที่ไม่รู้!”
เรือนแก้วฟังแล้วเงียบไปครู่
“ไม่รู้ก็ผิดแล้ว?”
“เงื่อนของสังสารวัฏอยู่ตรงนี้แหละค่ะ พอไม่รู้ ก็หลงกล ติดกับดักลวงตาลวงใจว่า สภาพมนุษย์นี้เป็นตัวเราจริงๆ สภาพมนุษย์อื่นเป็นตัวเขาที่ควรหวงไว้จริงๆ จากนั้นก็ตามมาด้วยปฏิกิริยาลูกโซ่ ในวาระที่ตายไปพร้อมกับความไม่รู้ ก็เข้าไปอยู่ในกระบวนการก่อภพก่อชาติ จิตถูกกองบุญกองบาปดูดไปเกิดในอัตภาพใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้ววันหนึ่งก็ต้องพลาดไปสู่นรกบ้าง หมาแมวบ้าง เปรตอสุรกายบ้าง”
“ถ้ารู้จักพุทธศาสนาอย่างในชาตินี้ แล้วตั้งจิตไว้ให้ดี ให้มั่นคงอยู่กับความเป็นสัมมาทิฏฐิ ตั้งใจทำแต่บุญ ไม่คิดทำบาปอีกเลยไม่ได้หรือ?”
แทนการตอบด้วยคำพูด แพตรีรวบรวมสมาธิทั้งลืมตา ตั้งจิตให้มีกำลังอย่างใหญ่ด้วยความปรารถนาอนุเคราะห์ แล้วเล็งแลว่ากายใจของเรือนแก้วผ่านอะไรมาบ้าง นับจากที่เคยเห็นมากับตาก่อน
ภาพที่ปรากฏต่อตาเนื้อเลือนลง แล้วถูกแทนที่ด้วยภาพทางใจที่แจ่มชัด วาระแรกที่พบกันในสวนหย่อมของโรงพยาบาล เรือนแก้วเหมือนลูกนกบาดเจ็บที่น่าสงสาร
พอได้ภาพทางใจนั้นเป็นสารตั้งต้น แพตรีก็กำหนดด้วยจิตที่เป็นมหาอุเบกขา ส่องดูด้วยความปรารถนาจะเห็นภาพเหตุการณ์ช่วงวัยรุ่น ตลอดไปจนกระทั่งช่วงวัยเด็กของเรือนแก้ว โดยให้จิตตนสุ่มเลือกเองว่าอันไหนเด่นพอจะนำมาใช้เป็นเครื่องมือเกื้อกูลกันได้
“ประมาณสัก ๗ ขวบ พี่แอ้อยู่ในช่วงที่แก่นๆ กล้าๆ แล้วก็ชอบแอบพ่อแม่ดูคลิปโหดๆ จนวันหนึ่ง เห็นปลาทองในตู้แล้วเกิดใจบาป หยิบมันจากในน้ำมาบี้เล่นให้ตาย เพียงเพราะอยากเลียนแบบอย่างที่เห็นคนในคลิป ถูกไหมคะ?”
เรือนแก้วยกมือทาบอกใจหายวาบ รู้สึกราวกับโดนใครถลกหนังออกจนตับไตไส้พุงทะลักออกมากอง
“ถูก…”
เสียงของเธอแหบพร่า จ้องแพตรีตาแทบถลน
“หลายปีต่อมา พี่แอ้นึกถึงเรื่องนี้ แล้ววนเวียนเห็นภาพปลาทองดิ้น แต่หนีไปไหนไม่รอด ต้องเละเทะคามือพี่แอ้ แล้วพี่แอ้ก็สำนึกผิดใจแทบขาด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้มัน”
“โอย… ตายล่ะ! นี่เธอเห็นขนาดนี้เลยหรือ?”
“แปลว่าที่แพเห็น คือ ‘กรรมปัจจุบัน’ ที่พี่แอ้ทำจริงๆนะคะ”
เรือนแก้วอยากตอบ แต่คอตีบพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ
ขณะนั้น แพตรีปิดตาลงเพื่อเห็นย้อนไปให้ถนัดขึ้นอีกนิด แล้วครู่หนึ่งก็ลืมตาบอกว่า
“ชาติที่พี่แอ้เป็นไฉ่จิน ตอนหนีไปอยู่ชนบทกับหลงซุ่น พี่แอ้ชอบเข้าวัด ใจบุญสุนทาน เพราะได้แบบอย่างดีๆจากพระและชีในวัด ที่พากันสร้างเขตอภัยทาน จนเกิดใจจริง ตั้งอธิษฐานกับคนในวัด ตามที่ยุคนั้นนิยมตั้งใจร่วมกันทุกวันว่า จะขอรักษาศีล โดยเฉพาะข้อปาณาติบาต ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอีกเลยทุกภพทุกชาติ ตราบเท่าเข้าถึงแดนสุขาวดี… พี่อธิษฐานอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นสิบปี”
“โอเค! เข้าใจแล้ว” เรือนแก้วพยักหน้าแบบคนเข้าใจเร็ว “คำอธิษฐานช่วยไม่ได้ ความหลงลืมเอาไปกินหมด และความโง่แบบมนุษย์ชนะเสมอ โดยเฉพาะช่วงชีวิตที่ยังขาดจิตสำนึกรู้ผิดรู้ชอบ”
“ค่ะ!”
“ภาพในใจของเธอคงชัดเจนมากสินะ พลอยทำให้พี่รู้สึกได้ถึงความเป็นไฉ่จิน ที่แวดล้อมด้วยบรรยากาศฉ่ำเย็น มีกลิ่นหอมของทุ่งนาเขียวๆรอบวัดในช่วงฤดูฝน อันนี้ใช่ภาพที่อยู่ในใจเธอหรือเปล่า?”
“ใช่ค่ะ! เราเห็นตรงกัน”
“ชีวิตในสิ่งแวดล้อมแบบนั้นเหมือนสวรรค์จริงๆ… กลิ่นอายของภพชาติก็ไม่เลวนะ อยากกลับไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบนั้นอีกจัง”
“ชีวิตดีๆ น่ากลับไปซ้ำนะคะ แถมเรื่องที่พี่เต้เล่าในชาติไฉ่จิน ก็เหมือนละครตอนสนุกเสียด้วย”
“อือ! ฟังเต้เล่าแล้วรู้สึกว่า ไม่รู้อะไรเลยก็สนุกดีเหมือนกัน สนุกไปเป็นชาติๆ จบชาติหนึ่งก็ลบความจำให้หมด จะได้ไม่เบื่อที่ต้องย่ำซ้ำอยู่กับที่ เกิดใหม่ เริ่มกันใหม่ ตัดสินใจกันใหม่… ต่อให้ต้องตายไปกับความไม่รู้อีกกี่ล้านชาติก็ยอม ถ้าเป็นไปพร้อมกับเขา”
แพตรียิ้มเย็น แววตาอ่อนโยนล้ำลึก
“เดี๋ยวแพจะให้ดูอะไร พี่แอ้ปิดตาลงหน่อยนะ จะลดตัวลงนอนราบให้ถนัดเลยก็ได้”
ด้วยความไว้ใจสนิท กับทั้งอยากรู้อยากเห็น เรือนแก้วจึงปิดตาลง เปลี่ยนอิริยาบถจากครึ่งนั่งครึ่งนอนเป็นนอนราบตามคำสั่งทันที ไม่ถามสักนิดว่าจะให้ทำอะไร
เมื่อแพตรีเห็นว่าจิตอีกฝ่ายเปิดเต็ม ก็ล็อกเป้าความเปิดเต็มนั้นไว้ เสมือนเป็นจอว่าง จากนั้นส่งภาพนิมิตที่คมชัดในใจตนไปปรากฏบนจอว่างนั้น พร้อมทั้งบรรยายประกอบ
“พี่แอ้จับความรู้สึกฉ่ำชื่นรอบๆวัดที่ไฉ่จินไปทำบุญเป็นประจำนะคะ บริเวณนั้นมีทะเลสาบ ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่ม มีนาข้าวกว้างสุดตา”
เรือนแก้วนึกตามแล้วแค่เกิดภาพจินตนาการปกติ ไม่ได้มีสิ่งใดพิเศษไปกว่าประสบการณ์นึกคิดตามคำบอกเล่าของคนอื่น
“เมื่อจะไปวัด ไฉ่จินจะเอาผ้าฝ้ายเก่ามาพันรอบคอ คลุมไหล่จนถึงศอก ตลอดทางมีกลิ่นดินปนข้าวอ่อนลอยมาตามลม เธอมักฟังเสียงรองเท้าที่ตัดจากไม้ไผ่แห้ง เคาะเป็นจังหวะกับทางโรยกรวด”
เรือนแก้วจินตนาการตามไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งก็เกิดประสบการณ์แปลกประหลาด คล้ายปรากฏร่างอีกร่างหนึ่งขึ้นมา มีหัว ตัว แขน ขา อยู่ในชุดฝ้ายดิบแบบคนจีนโบราณ เดินก้มหน้าก้มตามองเท้าตัวเองก้าวสลับซ้ายขวาคืบไปข้างหน้าต๊อกๆๆ สมจริงจนถึงขั้นสงสัยว่านี่เกิดการย้ายร่างหรืออย่างไร
“การใช้ชีวิตในยุคนั้น ไม่ค่อยมีเครื่องอำนวยความสะดวก ห้องน้ำไม่มีท่อระบายน้ำหรือส้วมถาวร แต่จะใช้โอ่งดินเผา หรือหม้อไม้ไผ่สาน วางในห้องเล็กหลังเรือน เรียกกันว่า ‘หม้อกลางคืน’ เวลาฝนตกหนัก กลิ่นดินผสมกลิ่นอุจจาระจะลอยคลุ้งขึ้นมา”
พอชุดความจำเกี่ยวกับกลิ่นเด่นชัด ก็เหมือนเรือนแก้วกลับไปเป็นไฉ่จินโดยสมบูรณ์ สมัยนั้นไม่มีน้ำประปาให้อาบน้ำ ต้องอาศัยบ่อหรือโอ่งเก็บน้ำฝน สบู่ทำจากสมุนไพร ขับถ่ายอุจจาระปัสสาวะแต่ละครั้งลำบากและต้องทนกลิ่นเก่ากลิ่นใหม่ ไม่มีคำว่าชินแล้ว เฉยๆแล้ว
ถ้าใช้ชีวิตแบบหญิงชาวบ้าน ต้องใช้หวีที่ทำจากไม้หรือกระดูกสัตว์ ไม่มีฟันหวีละเอียดเท่ายุคปัจจุบัน ทำให้เกิดรังเหา หรือหนังศีรษะอักเสบง่ายมาก หากเกิดแผลติดเชื้อก็รักษายาก เพราะไม่มีน้ำยาฆ่าเชื้อ
กรรไกรตัดเล็บที่ทำเป็นกรรไกรปลายงอนในยุคนั้น ทำจากเหล็กตีมือ ไม่ใช่เหล็กกล้าไร้สนิม ถ้าตัดพลาดเข้าลึก เล็บฉีกหรือแผลเปิดจนเลือดซึม มักกลายเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าได้ง่าย โดยเฉพาะในคนที่ทำงานกลางนา และเมื่อแผลอักเสบ ไม่มีน้ำยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะใช้ เยื่อรอบเล็บจึงบวมแดงเป็นหนอง นิ้วปวดตุบๆ และถ้าเชื้อลงลึกถึงกระดูก มักไม่มีทางรักษา นอกจากตัดนิ้วทิ้งเพื่อหยุดพิษ
ฟันผุเป็นเรื่องธรรมดาในยุคนั้น ถ้ามีเหตุให้ต้องถอน หมอฟันในตลาดจะใช้คีมเหล็ก หรือคีมคีบไฟจนร้อนก่อนถอนเพื่อให้ฆ่าเชื้อไปในตัว ไม่มีการฉีดยาชา แต่ใช้วิธีกัดผ้า หรืออมเหล้าขาว แล้วให้คนจับตัวไว้กันดิ้น ถอนเสร็จถ้าเลือดไม่หยุด จะให้เคี้ยวขี้ผึ้งหรือข้าวเหนียวบดเพื่ออุดแผล หลายคนเสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือดภายในไม่กี่วันหลังถอนฟัน
ภาพวิถีการจัดการปัญหาทางกาย ปรากฏในห้วงมโนทวารของเรือนแก้ว แบบที่เธอไม่ได้นึกเอง แพตรีเป็นคนใส่เข้ามา แต่เธอก็จำได้ว่านั่นคือความจริงที่เคยเกิดขึ้น
โลกที่การเจ็บเล็กๆ อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงตาย ทำให้เรือนแก้วรู้สึกสลดหดหู่ ที่เกาทัณฑ์เคยเล่าว่าหลงซุ่นหนีไปเป็นหมอรักษาคนในชนบทเล็กๆ แล้วได้อยู่อย่างสงบกับไฉ่จิน มันเป็นภาพที่ดูเผินๆเหมือนแสนสุข แต่จริงๆระคนทุกข์ที่ทนได้ยากนานัปการ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับวิถีชีวิตในยุคไอที
หลังจากเว้นวรรคพักหนึ่งให้จิตของเรือนแก้วทำงานเอง ระลึกเอง เสียงของแพตรีก็กลับมา
“หลังจากอยู่ในชนบทกับหลงซุ่นได้ไม่นาน ไฉ่จินก็คลอดลูกคนแรกในปีต่อมา คืนนั้นเธอนอนบิดเกร็งบนฟูกฟาง ใจแทบขาดทุกครั้งที่มดลูกบีบรัดแรงขึ้น เพราะไม่มีเข็มฉีดยา ไม่มีน้ำเกลือ ไม่มีทางเลือกนอกจากมือเปล่าของหมอตำแยหญิงประจำหมู่บ้าน ที่พยายามหมุนตัวเด็กในท้องให้กลับท่าท่ามกลางแสงตะเกียงสลัว แต่ขณะศีรษะเด็กเริ่มโผล่ หมอตำแยกลับหน้ามืดทรุดลงหมดสติกะทันหัน จากความอ่อนแรงหลังทำคลอดติดกันสองรายในวันเดียว”
เรือนแก้วกลับไปเป็นไฉ่จินเต็มตัว ในคืนคลอดอันสุดทรมาน เหตุการณ์หลังจากหมอตำแยทรุดลง ปรากฏเองโดยแพตรีไม่ต้องเล่านำ เธอเห็นผู้ช่วยหมอตำแยรีบประคองหัวเด็กที่โผล่แล้ว เช็ดปากจมูก กระตุ้นให้หายใจ และกดนวดมดลูกผ่านหน้าท้อง
แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น เลือดของไฉ่จินยังไหลไม่หยุด แล้วความรู้ระดับผู้ช่วยหมอตำแยก็ห้ามเลือดไม่ได้ โดยเฉพาะที่เป็นการตกเลือดหลังคลอด อันเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของการคลอดสมัยโบราณ
ดังนั้น ผู้ช่วยหมอตำแยจึงต้องตามหลงซุ่น ซึ่งผันตัวมาเป็นหมอชนบท เขาจำต้องฝ่าธรรมเนียมห้ามชายเข้าห้องคลอดมาตัดสายสะดือและจัดการห้ามเลือดด้วยตนเอง ค่ำคืนที่ชีวิตทั้งแม่และลูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย จึงผ่านพ้นไปแบบฉิวเฉียด
“พี่แอ้ทำความรู้สึกที่ร่างกายของตัวเองนะคะ” แพตรีพากย์ต่อ เพื่อตัดฉากเข้าสู่อีกประเด็นสำคัญ “ตอนไปอยู่ชนบท ยังเป็นวัยสาว แต่ก็ร่วงโรยอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ได้รับการดูแลอย่างดีเหมือนตอนอยู่ในเมือง แถมต้องเอาเวลาเกือบทั้งหมดไปให้ลูกอีกสองคน เมื่ออายุมากขึ้น หมดความสวยแบบเดิมๆ หลงซุ่นจึงชักชวนให้โยกย้ายกลับมาอยู่กับครอบครัวเดิมในเมือง”
เรือนแก้วรู้สึกตาม กับทั้งสลดใจยิ่ง เพราะเมื่อระลึกได้ถึงสภาพ ‘หมดสวย’ ก็มีการต่อยอดไปเห็นสภาพ ‘หมดสาว’ ต่ออีก
จากความงามระดับได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสนมเอก นานๆไปก็เหี่ยวย่น หม่นหมอง หาความน่ามองไม่เจอเสียแล้ว และโดยที่แพตรีไม่ต้องพูดนำ เธอเห็นภาพรวมชีวิตว่า ไฉ่จินเป็นคนอายุยืน จึงใช้เวลาเป็นอันมากไปกับร่างชรา ที่มือสั่นตอนจับช้อน เข่าปวดจนต้องใช้ไม้เท้าไม้ไผ่เดินทีละก้าว ตาพร่ามัวมองเห็นเป็นหมอก ราวกับไปทำผิดอะไรมา จึงต้องได้รับโทษทัณฑ์ ขังไว้ในร่างเส็งเคร็งน่าเบื่อหน่ายนานปีปานนั้น
ช่วงเวลาหลายสิบปีสุดท้าย หมดไปกับการทนอยู่ในร่างที่ดับลงทีละส่วน แม้จะได้โสมดีจากสามี ก็เพียงแค่ผ่อนหนักให้เป็นเบา และครั้นเมื่อถึงเวลาร่างใกล้ดับจริง ความอึดอัดต่างๆนานาก็ทวีตัว ส่งสัญญาณมรณกาล หัวใจไม่อยากเต้น ปอดไม่อยากขยับ อวัยวะน้อยใหญ่เหมือนสมรู้ร่วมคิดที่จะปิดบัญชีพร้อมกัน รอเวลายุติทุกสิ่งแบบนับถอยหลัง
ความแก่ชราไม่ดีเลย
การต้องกลับมาเกิดเพื่อแก่ชราซ้ำๆอีก ไม่ดีเลย
ความรับรู้ในร่างชราของไฉ่จินค่อยๆเลือนลง ความเป็นร่างสาวของเรือนแก้วคืนกลับมา เธอลืมตาและกะพริบถี่ๆ งุนงงสับสนกับประสบการณ์สลับร่างตะลึงโลกนั้นชั่วขณะ ก่อนพลิกหน้ามาจ้องแพตรีเขม็ง พบฝ่ายนั้นยิ้มรออยู่ก่อน
“ฟังคนอื่นเล่า ไม่เท่าเข้าไปอยู่ตรงนั้นจริงใช่ไหมคะ?”
เรือนแก้วร่างสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกเข็ดหลาบ เพราะจำได้ชัด สภาพแก่เฒ่าช่างเป็นสิ่งยืดเยื้อ รอเป็นนานสองนานว่าเมื่อไหร่จะตาย ก็ไม่ตายสักที
“ร่างมนุษย์นี่…” เอื้อนเอ่ยเสียงแหบออกมาได้ “เหมือนบทลงโทษอะไรสักอย่างเลยนะ”
แพตรีส่ายหน้า
“ในสังสารวัฏนี้ ร่างกายมนุษย์จัดเป็นรางวัลขึ้นหิ้งแล้วค่ะพี่แอ้ น้องๆร่างเทพเลย ถ้าอยากเห็นบทลงโทษจริง เดี๋ยวแพพาย้อนระลึกไปถึงร่างร้ายในแดนนรกเอาไหมคะ? ทุกคนเคยพลาด เคยผ่านกันมาหมดแหละ!”
เรือนแก้วกลืนน้ำลายเอื๊อก ปลิ้นตาตอบลนลานด้วยความพรั่นพรึงจริงๆ
“ไม่ล่ะค่ะ! ลูกช้างขอกราบขอบพระคุณในความหวังดี!”
แพตรีหัวเราะเบาๆ เลยพาให้เรือนแก้วพลอยขำตัวเองตาม
“เธอทำแบบนี้ได้นานหรือยัง?”
“ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลองดูน่ะค่ะ เพราะรู้สึกว่ามีกำลังพอ”
“โห! นี่ครั้งแรกนะเนี่ย! คุณปู่สอนไว้เหรอ? ทำให้พี่อีกเรื่อยๆได้ไหม? ชักอยากเข้าวงการเต็มตัวแล้วล่ะ”
“ตอนเด็กๆปู่เคยทำอย่างนี้ให้แพครั้งหนึ่ง เป็นทางลัดให้แพจำชาติก่อนได้ง่ายๆ แต่พอแพติดใจอยากเอาอีก ปู่ก็บอกให้ทำเองค่ะ จะได้เป็นตัวของตัวเอง ถ้าให้คนอื่นช่วยตลอด ก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าภาพเสียงและสัมผัสที่ระลึกได้ เป็นชุดความจำเก่าของเราจริงๆ หรือสมองเล่นตลกสร้างชุดความจำปลอม หรือว่าใครใส่ข้อมูลใหม่เข้ามาในหัว”
“พี่ยอม พี่ไว้ใจเธอ จะใส่อะไรเข้ามาในหัวพี่ก็ตามใจ” แต่พอนึกได้ก็รีบตั้งเงื่อนไข “ขอแบบสวรรค์ๆ กับชาติมนุษย์ดีๆ น่ารักๆหน่อยเท่านั้นแหละ”
แพตรีไม่รับและไม่ปฏิเสธ แต่ตัดกลับมาสู่ประเด็นที่ตัวเองต้องการ
“แต่ละชาติความเป็นมนุษย์ มีแรงดึงดูดสำคัญคือความหวานชื่นในรสรักระหว่างหญิงชาย แต่ความจริงก็คือ ความหวานชื่นหนึ่งกอง ต้องแลกกับรสขมของความเป็นเด็กเกิดใหม่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ความเหนื่อยยากในการทำงาน การบำรุงดูแลร่างกาย ความแก่ชรา ความเจ็บไข้ และชะตาที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ รวมแล้วหลายร้อยหลายพันกอง”
เรือนแก้วฟังแล้วสลด คิดถึงวาระที่ตนเคยอาจหาญ อธิษฐานขอติดตามเกาทัณฑ์ไปบนทางยาว ขึ้นต้นมาก็กล้าพูดเลยว่า ไม่กลัวการรอนแรมบนทางไกล... บัดนี้ตระหนักแล้วว่า ที่กล้าพูดก็เพราะไม่รู้ว่า ‘ทางไกล’ นั้น ไกลอย่างน่าสยดสยองขนาดไหน
“เอ่อ… แพจ๊ะ… ที่แพกับปู่ทำๆอยู่นี่ เขาเรียกพยายามเพื่อจบภพจบชาติ ไม่ต้องมาเกิดอีก อย่างนั้นใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ!”
“เขาต้องเริ่มกันยังไงอ้ะ?”
“ต้องเป็นมนุษย์ และต้องมีอะไรบางอย่าง ที่กระตุกใจได้แรงพอจะเห็นโทษของการเกิดการตายค่ะ”
“ถ้าระลึกชาติไม่ได้ ก็หมดสิทธิ์น่ะสิ?”
“บางคน แค่ทุกข์ในชีวิต ก็ผลักไสให้อยากพ้นจากความมีความเป็นอย่างนี้ได้แล้วค่ะ”
“แบบพวกที่อยากฆ่าตัวตายน่ะเหรอ?”
“ทุกข์ตรมอกไหม้ไส้ขมจนอยากตายให้พ้นๆ แตกต่างกันมากค่ะ กับการมีสติเข้มแข็ง พิจารณาเห็นโทษการเกิดแบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่ และการตายแบบเสี่ยงภัย ไม่รู้ว่าจะขึ้นสูงหรือลงต่ำไปเรื่อยๆ”
“พูดง่ายๆ สำหรับคนส่วนใหญ่ ต้องอาศัยความทุกข์จากชีวิตมาจุดชนวน แล้วอาศัยศรัทธาเป็นแรงผลักดันให้ปฏิบัติจริงจัง?”
“ค่ะ!”
“ถ้างั้นยากเนาะ โดยเฉพาะสำหรับคนเมืองที่มีฐานะดี กว้านอะไรดีๆเข้าตัวได้ดังใจ จะไปเห็นโทษภัย หรือแม้แต่เชื่อเรื่องการเกิดตายได้ยังไง”
“ท่านก็ทราบแต่แรกค่ะว่า พระศาสนาของท่านเหมาะกับคนบางหมู่เหล่าเท่านั้น ท่านจึงไม่ปลอบใจว่า มาทางนี้จะง่าย ตรงข้าม ท่านเคยตรัสตามจริงว่า พระนิพพานเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก ไม่ใช่เพียรแค่นิดหน่อยแล้วจะเห็นได้ แต่จุดใหญ่ใจความคือท่านประทานแนวทางเอาชนะความยากไว้หมดแล้ว ใครจะมีโอกาสศึกษา ใครจะมีไฟให้ได้เพียรพอจะถึงเท่านั้น”
“อย่างเธอได้โสดาฯ แปลว่าได้เห็นนิพพานแล้ว?”
“ค่ะ!”
“นิพพานเป็นยังไง?”
“ถ้าอธิบายเป็นภาษาพูดให้เห็นภาพตามได้ ก็แปลว่าพระนิพพานเป็นสิ่งที่เห็นได้ง่ายนะคะ”
“แปลว่าพี่หมดสิทธิ์เข้าใจ?”
“เปรียบเทียบให้ใกล้เคียงแล้วกันค่ะ สมมุติว่าที่พี่แอ้กำลังรู้สึก กำลังนึกคิด กำลังเห็น และกำลังได้ยินอยู่ทั้งหมดนี้ คือฉากและตัวละครที่พูดคุยกันบนจอภาพสองมิติ พอมีใครมาบอกว่า เฮ้! ชีวิตพวกเธอมันอยู่ในมิติกว้างยาวแบนๆ น่าอึดอัดจะตาย เลิกติดใจจอแบน แล้วพุ่งทะลุออกมานอกจอสิ จะเห็นว่าดีกว่าขนาดไหน… นาทีแรกที่ได้ยินอย่างนี้ พี่แอ้จะจินตนาการถูกไหมคะว่า อากาศว่างรอบด้านนอกจอแบนเป็นยังไง?”
“จินตนาการไม่ถูก! และคงไม่นึกอยากออกมาด้วย… ว่าแต่ว่า พอถึงโสดาฯแล้วดียังไง? ขอรู้จากประสบการณ์ตรงสดๆเลยได้ไหม”
“ประการแรก คือเป็นทุกข์กับเรื่องกระทบใจน้อยลง เพราะจิตปลอดโปร่งจากการละความถือมั่นง่ายขึ้น ประการที่สอง คือปิดประตูอบายภูมิได้สนิท เพราะมีความละอายต่อบาป แค่คิดไม่ดีก็สำนึกผิดได้เองแล้ว และประการสุดท้าย คือพระพุทธเจ้าทรงรับประกันว่า จะได้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ภายใน ๗ ชาติ เพราะได้ร่องทางเดินสายโลกุตตระที่แน่นอนแล้ว”
“ฟังดูดีจังแฮะ แต่... อันนี้อยากถาม เธอแน่ใจได้ยังไงว่า สิ่งที่เธอเข้าถึงแล้ว ใช่นิพพานแน่”
“เหมือนที่สมมุติให้พวกเราอยู่ในจอแบนสองมิติ ตอนนี้แพก็อยู่กับพี่แอ้ในนั้น แต่ถ้าเข้าสมาธิดีๆ แพจะมีจิตที่กลับตาลปัตร พลิกการรับรู้จากด้านในของจอสองมิติ มารู้สึกถึงอากาศว่างสามมิติได้ชั่วคราว”
“เหมือนตอนสำเร็จมรรคผล ได้ประตูลับเปิดปิดเข้าออกได้?”
“ประมาณนั้นค่ะ แต่ไม่ใช่ประตูลับที่ทำให้ออกมาได้ทั้งตัวนะคะ แค่โผล่หน้าออกมาเห็นมิติอื่นที่ลึกกว่าจอแบนเดี๋ยวเดียว ไม่ใช่ออกมาอยู่เลยทั้งตัวแบบพระอรหันต์”
“แล้ว… เธอรู้ได้ยังไงว่านิพพานดีที่สุด?”
“เทียบง่ายๆนะคะ ตอนหลับฝัน พี่แอ้จะรู้สึกว่ามืดมัว เห็นภาพและได้ยินเสียงเลอะๆเลือนๆ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ตลอดเวลา แต่ก็อุตส่าห์ปักใจเชื่อว่านั่นคือพี่แอ้ตัวจริง มีตัวตนแบบนั้นคือดีที่สุด… ต่อเมื่อตื่นขึ้นมา หูตาสว่าง ภาพและเสียงคงที่ขึ้นเป็นคนละเรื่อง จึงมองว่า ‘ตื่นจากฝัน’ ดีกว่า และจริงกว่า”
“เข้าใจเปรียบเทียบแฮะ”
“เอามาจากที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้น่ะค่ะว่า สิ่งใดปรวนแปร ต้องสาบสูญไปเป็นธรรมดา สิ่งนั้นเป็นเท็จ ซึ่งก็ได้แก่รูปชีวิตของพวกเรานี้ แต่สิ่งใดคงที่ ไม่สาบสูญไปเป็นธรรมดา สิ่งนั้นเป็นจริง ได้แก่พระนิพพาน”
“ขออีกนิด… ความจริงดีกว่าความฝันตรงไหน? บอกตรงๆว่า ฟังแล้วพี่เกิดจินตนาการถึงความแห้งแล้ง ไม่มีอะไรเลย”
“นิพพานไม่ใช่ทะเลทราย แล้วก็ไม่ใช่อากาศว่างอย่างที่พี่แอ้เข้าใจค่ะ เปรียบเทียบเพื่อให้จินตนาการเข้าเป้ากว่าเดิมอย่างนี้ดีกว่า รสของรูปและนามตรงหน้าพี่แอ้นี้ ปรวนแปรไปเรื่อยๆ เสพเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม มีปกติหิวโหยไปเรื่อย แต่รสของการไร้รูปไร้นามที่พ้นไปจากความเป็นอย่างนี้ คงที่ เสพแล้วอิ่ม หายหิว”
“เป็นรสที่ต้องลิ้มเองถึงจะรู้สินะ... สำหรับพี่ ตราบใดที่ยังใช้จินตนาการ ตราบนั้นก็ยังต้องลังเลว่านิพพานจะมีจริงไหม หรือต่อให้มีจริง ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเสพแล้วหายหิวแน่หรือเปล่า”
“พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ค่ะว่า ใครต่อใคร ไม่ว่ามนุษย์หรือเทวดา ต่างก็เชื่อว่า กายใจแบบนี้ หรือกายใจอันเป็นทิพย์ คือของจริง แต่พอพูดถึงนิพพานจะนึกว่าเป็นเท็จ ต่างจากพระอริยเจ้าทั้งหลายเป็นตรงกันข้าม ที่เห็นกายใจเป็นเท็จ รู้เฉพาะตนว่าเมื่อดับกิเลส เข้าถึงพระนิพพานอันเป็นจริงแล้ว เป็นผู้หายหิว”
“อย่างตอนนี้ เธอไม่แคร์เรื่องความรักแล้ว เป็นสัญญาณบอกว่าหายหิวแล้ว?”
“ยังค่ะ!”
“เอ้า!”
“ขั้นที่แพเข้าถึง แค่ละความเห็นผิดว่ากายใจนี้เป็นจริง เห็นแจ้งว่ากายใจนี้ ‘เป็นเท็จ’ คือรู้ว่าไม่มีตัวตนในกายใจนี้ เพราะได้ข้อเปรียบเทียบแล้วว่า ‘ของจริง’ อย่างนิพพานเป็นอย่างไร… แต่กิเลสอื่นๆ ไม่ว่าจะราคะ โทสะ หรือโมหะ ยังไม่หายไปไหน”
“เดี๋ยวนะ! ขอถามใหม่ให้ชัดๆ สรุปว่า โสดาบันบุคคล ยังมีความรักได้?”
“สมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ ก็มีโสดาบันบุคคลมากมายยังครองเรือน มีครอบครัวเหมือนคนทั่วไปค่ะพี่แอ้ อย่างเช่นนางวิสาขาผู้เป็นอุปถัมภกคนสำคัญ ก็ได้โสดาฯตั้งแต่ ๗ ขวบ แต่นางก็มีลูกเป็นสิบเป็นร้อย แถมเมื่อหลานของนางตาย นางก็ยังร้องไห้แทบขาดใจอยู่ แสดงถึงความมีอาลัยได้เท่าคนธรรมดา”
“งั้น… เธอก็ยังมีแฟนได้?”
แพตรีหัวเราะอย่างเข้าใจวูบแห่งอารมณ์กลัวของเรือนแก้ว
“แพให้แล้วให้เลยค่ะ พี่แอ้ไม่ต้องห่วง”
“ไม่ได้ห่วง…” เรือนแก้วรีบแก้ตัวพัลวันด้วยเสียงหนีบๆ “แค่สงสัยอะนะ เอาจริงๆ เห็นเธอแต่แรก รู้สึกเหมือนเป็นเทวรูปไร้กิเลส นึกไม่ออกว่าผู้ชายคนไหนจะมีสิทธิ์ไปแตะต้อง”
“พวกเราเหมือนใส่หน้ากากต้องคำสาปหลายชั้น แต่ละชั้นมีหน้าที่ทำให้เห็นโลกเบี้ยวบิดผิดเพี้ยน แพเองก็ยังต้องถอดออกทีละชั้นอยู่ค่ะ ยังห่างไกลจากการจบภารกิจ”
คำว่า ‘หน้ากากต้องคำสาป’ กระแทกใจเรือนแก้วได้ เพราะเมื่อครู่เพิ่งแวบคิดกลัวว่าแพตรีจะริบคนรักคืน ชั่วขณะนั้น เธอรู้สึกถึงหน้าตาตัวเองที่หนาเตอะขึ้นมาด้วยอารมณ์หวงแหนผิดปกติ กระทั่งหวาดระแวงผิดคนได้
นั่นกระมัง หน้ากากชนิดที่สาปให้รู้สึกเหมือนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของใครสักคน
อย่างน้อยเห็นความต่างระหว่างใจตนที่ยังยึดมั่นหวงแหนรุนแรง กับใจแพตรีที่กว้างขวาง วางได้แม้ของรักของหวง แล้วเรือนแก้วก็นึกละอาย กับทั้งเกิดความรู้สึกเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาว่า วิถีทางที่แพตรีเลือกแล้ว ปลอดภัยและเป็นทุกข์น้อยกว่าบ่อโคลนที่เธอจมปลักอยู่
“พวกเราไปทำบาปทำกรรมไว้แต่ปางไหน ทำไมถึงต้องมาติดแหง็กอยู่กับความมีตัวตน และความหวงแหนที่เหลวไหลอย่างนี้?”
“ความรู้สึกว่ามีตัวตน ไม่ใช่ผลจากบาปกรรมที่ไหนค่ะ”
“แล้วเกิดจากอะไร?”
“เกิดจากกายใจนี้แหละค่ะ กายใจที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของใคร แต่ดันผลิตความรู้สึกว่ามีตัวตน เป็นของของตนขึ้นมาได้”
“ธรรมชาติกำหนดให้เป็นอย่างนี้?”
“ค่ะ! เมื่อรูปกาย ความรู้สึก ความจดจำ ความคิดดีคิดร้าย กับความรับรู้ทางหูตา ประกอบรวมกันขึ้นมา จะก่อให้เกิด ‘ความรู้สึกว่าเป็นฉัน’ เสมอ”
เรือนแก้วรู้สึกถึงร่างครึ่งนั่งครึ่งนอนของตน พร้อมกันกับความคิดที่วิ่งพล่านในหัว แล้วไม่อาจรู้สึกเป็นอื่น นอกจากนี่คือตัวเธอแน่ๆ
แพตรีสัมผัสได้เช่นนั้น ก็ถามเจาะใจ
“ใจยอมเชื่อไหมคะว่าไม่มีตัวพี่แอ้?”
“ไม่อ้ะ!”
“นี่แหละค่ะ! หน้ากากตัวตน หรือเปลือกหุ้มจิตชั้นแรกที่หนาแน่น เรียกว่า ‘สักกายทิฏฐิ’ คือความปักใจเชื่อว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวตนของเรา ก่อนมีกายใจนี้ ก็เคยยึดกายใจอื่นในชาติก่อนมาแล้ว พอกายใจในชาติก่อนหายไป ก็เกิดกายใจใหม่มาสืบต่อความปักใจเชื่อเดียวกันอีก”
ณ ขณะนั้น จิตของเรือนแก้วเปิดขยายออก คล้ายจะรับความจริงขึ้นมาได้วูบหนึ่ง แต่แล้วก็หุบปิด เพราะสมองอลหม่านด้วยความครุ่นคิดสงสัยว่า ถ้าเลิกเชื่อว่ามีตัวตน จะต้องยอมเสียเปรียบอย่างหน้าชื่นตาบานเหมือนแพตรีไหม
“กลัวเสียเปรียบชาวบ้านใช่ไหมคะ?”
ฝ่ายนอนเตียงถึงกับสะดุ้งวาบ ขากระตุก
“อุ๊ย! อยู่ใกล้เธอทั้งวันมีหวังได้เป็นคนดีแน่ๆเลย ไม่กล้าคิดนอกลู่นอกทางตลอดชีวิตแล้วจ้ะคุณแม่”
“ความลังเลสงสัยต่างๆนานาที่พิสดารได้ไม่จำกัด คือเปลือกหุ้มที่สอง ที่กั้นจิตเราไว้ให้ห่างจากพระนิพพาน เรียกว่า ‘วิจิกิจฉา’ ตราบใดยังวนเวียนสงสัย ตราบนั้นจะบั่นทอนกำลังใจให้คิดแสวงทางพระนิพพาน”
“โอเคค่ะคุณน้อง! กลัวแล้วจ้า ไม่สงสัยแล้วจ้า” แล้วเธอก็เปลี่ยนจากความสงสัยเป็นใคร่รู้ขึ้นมาแทน “ถ้าพี่อยากถึงธรรม ได้โสดาฯแบบเธอบ้าง ต้องประพฤติตัวยังไงเหรอ? ญาติพี่คนหนึ่งบอกว่า ถ้าอยากบรรลุธรรมแบบเขา ต้องกินมังสวิรัติแบบเขา ถ้าเอาง่ายๆแบบนั้นพี่พอไหว”
“ญาติพี่แอ้ระบุว่าแค่กินมังสวิรัติก็บรรลุธรรม?”
“จำได้ว่าเขาพูดประมาณนั้นนะ บอกว่าพวกเราอยู่ในวงจรการเบียดเบียน ถ้าตัดการเบียดเบียนได้ จิตก็จะแผ่ออกเป็นเมตตา แล้วในที่สุดก็บรรลุธรรม”
แพตรีเหลือบตาลงต่ำด้วยความสลดใจนิดหนึ่ง ก่อนเชิดหน้าพูดเป็นปกติ
“แพเองก็กินมังสวิรัติ บอกได้เต็มปากว่าไม่ใช่วิธีบรรลุธรรม แค่ช่วยให้ตัวเบา ใจเบา และไม่รู้สึกว่าเป็นผู้บริโภคศพสัตว์ แต่ไม่ได้ช่วยให้ศีลสะอาดขึ้น แล้วก็ไม่ได้ช่วยให้เกิดปัญญา แหวกกรงกายใจไปรู้นิพพานอะไรได้หรอกค่ะ”
“นั่นสิ! พี่ก็ว่าแปลกๆ อย่างที่เมืองนอกก็บอกต่อกันบ่อยว่า เสพแอลเอสดีแล้วตื่นรู้ บรรลุธรรมกันเยอะแยะ”
“ทำอะไรอย่างหนึ่ง หรือเสพอะไรอย่างหนึ่ง แล้วเกิดประสบการณ์ทางจิตที่แตกต่างไป คนก็พร้อมจะเชื่อแล้วค่ะว่าตัวเองเข้าถึงความจริงที่เหนือชั้น หรือกระทั่งเชื่อว่าตัวเอง ‘บรรลุธรรม’ ไปแล้ว”
“แย่นะ”
“ความพร้อมจะปักใจเชื่อว่า ปฏิบัติอะไรสักอย่างง่ายๆ แล้วมีสิทธิ์บรรลุมรรคผลขึ้นมาดื้อๆนั่นแหละค่ะ คือเปลือกหุ้มชั้นที่ ๓ เรียกว่า ‘สีลัพพตปรามาส’ ซึ่งมีกันทุกคน ตราบเท่าที่ยังไม่ได้จิตรู้ที่เป็นวิปัสสนาแท้”
“เธอกะเทาะเปลือกทั้ง ๓ ได้แล้ว?”
“ค่ะ! เปรียบเหมือนถูกประหารไปได้เด็ดขาด นับแต่นาทีที่ไฟล้างชื่อว่า ‘โสดาปัตติผล’ บังเกิด”
“แต่ยังเจาะเปลือกไม่หมด ต้องมีชั้นต่อๆไปให้เจาะอีก?”
“โดยย่นย่อนะคะ จิตพวกเรามีราคะ โทสะ โมหะหุ้มห่ออยู่หนาแน่น ถ้าจะเปิดจิตจากกะลาครอบไปพบฟ้ากว้างได้ถาวร ต้องทำลายเปลือกที่หุ้มห่อเหล่านี้ออกได้เกลี้ยง”
“ถ้าหนีเอาตัวรอดไปนิพพาน ไม่เท่ากับทิ้งครอบครัว ทิ้งพ่อแม่พี่น้องไว้ข้างหลังหรือ?”
“เราไม่ได้เป็นครอบครัว ไม่ได้เป็นพ่อแม่ลูกกับใครถาวรหรอกค่ะ บางทีศัตรูเก่าก็มาเกิดเป็นลูก เพื่อจองล้างจองผลาญกันต่อด้วยซ้ำ และนั่นก็หมายความว่า ถ้าเราไปนิพพาน ก็เท่ากับ ‘สละออก’ หรือปลีกตัวออกจากความเป็นไปได้ ที่จะย้อนกลับไปเบียดเบียนพวกเขาในชาติต่อๆไปต่างหาก”
“เฮ้อ! ทำไงดี อยู่ใกล้เธอก็นึกอยากตื่นขึ้นมาบ้าง แต่เดี๋ยวพออยู่กับเต้ ก็คงอยากสนุกกับการท่องเที่ยวเกิดตายไปกับเขาเรื่อยๆอีก ใกล้คนเช่นไร ก็เกิดแรงบันดาลใจไปตามคนเช่นนั้นจริงๆ สรุปว่าพี่ต้องเดินทางไกล ไปทางยาวใช่ไหมนี่?”
“ขึ้นอยู่กับการสมัครใจเลือกค่ะ ถามตัวเองง่ายๆ ทนได้ไหม ถ้าเห็นผู้หญิงอื่นยกมือขอสมัครเป็นคู่แท้เดินทางไกลไปกับพี่เต้ แทนที่พี่แอ้?”
เรือนแก้วก้มหน้านิ่งแทนคำตอบ
“นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆค่ะว่า ‘ยางเหนียว’ ที่ยึดใจเราไว้กับเส้นทางไกล ไม่ใช่นึกอยากเผาให้เหือดแห้งก็แค่คุยกันเล่นๆ”
“สมองพี่นึกอยากไปทางสั้นแบบเธอบ้าง แต่ใจมันยึดอยู่กับทางยาวเกินต้านเนี่ยสิ… ทำไงดี?”
แพตรีมองหน้าเรือนแก้วครู่หนึ่ง สัมผัสถึงจิตของฝ่ายนั้น ที่ถูกครอบงำด้วยอารมณ์สุดชื่นมื่น รักแสนรัก ผูกพันเหนียวแน่นอยู่กับบุรุษผู้มีอานุภาพใหญ่
จากนั้นก็เกิดนิมิตคู่เคียงของเกาทัณฑ์กับเรือนแก้ว ที่หันไปทางเดียวกัน เล็งภพใหญ่เดียวกัน ด้วยใจเสมอกัน นั่นเอง แพตรีจึงถามว่า
“พี่แอ้เพิ่งอธิษฐานร่วมทางกับพี่เต้ ตามเขาไปสู่พุทธภูมิใช่ไหมคะ?”
หลากอารมณ์ประดังประเด เรือนแก้วรู้สึกหนาวๆร้อนๆ คล้ายลักลอบทำผิดอะไรให้คุณครูจับได้ แต่ขณะเดียวกัน เมื่อระลึกถึงการขอติดตามเกาทัณฑ์ไปบนเส้นทางสู่พุทธภูมิของเขา ก็เกิดความอบอุ่นปรีดา คล้ายคนนึกครึ้มที่อีกสองวันจะได้เดินทางท่องเที่ยวแสนสนุก แสนอลังการ
“พี่คิดผิดหรือเปล่า?”
เธอถามเสียงอ่อย
“คิดไม่ผิดหรอกค่ะ แต่เป็น ‘คิด’ และ ‘เปล่งวาจาซ้ำ’ กับที่เคยทำมาแล้วในอดีต พี่แอ้ตามพี่เต้มานาน และอธิษฐานอย่างนี้มาทุกครั้งที่พบพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆด้วยกันกับเขา”
“แสดงว่าทุกชาติที่ผ่านมา เพิ่งมีเธอเป็นคนแรกที่ชี้ให้พี่เห็นว่า ทางสั้นน่าไปกว่าทางยาว คราวนี้พี่จะทำอะไรได้ล่ะ?”
“ก็บอกตัวเองว่ายังดี ชาตินี้เป็นวาระที่รู้ตัวว่าอยู่บนทางยาว เร่งสั่งสมบุญให้ติดตามตัวไป เหมือนเตรียมเสบียงไว้ไม่ให้ต้องลำบากมากนักค่ะ ดีกว่าคนอีกทั้งโลกที่ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังอยู่บนทางลำบาก อย่าว่าแต่จะเลือกเป็นเด็ดเป็นขาดว่าจะไปทางสั้นหรือทางยาว”
“เธอช่วยให้พี่เปลี่ยนใจได้ไหม?”
“ขนาดเหลนของพระพุทธเจ้าอย่างพระเจ้าวิฑูฑภะจะทำผิดคิดร้าย สังหารหมู่วงศ์ศากยะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านพยายามแล้วยังเปลี่ยนใจไม่ได้เลยค่ะ แล้วอย่างแพจะมีความสามารถอะไรไปเปลี่ยนใจพี่แอ้ได้ ระดับพี่แอ้นี่ฐานกำลังใจใหญ่กว่าแพอีกนะ”
“สองจิตสองใจแล้วล่ะ เหมือนโอกาสสิ้นทุกข์อยู่ตรงหน้ารอมร่อ แต่กลับเลือกทางอ้อมโลก เตร็ดเตร่ไปอีกไกลแสนไกล กว่าจะวกกลับมาถึงจุดนี้ซ้ำ”
“พระพุทธเจ้าชี้ทางได้ แต่ตัดสินใจเลือกทางให้ใครไม่ได้ พระองค์บอกวิธีปฏิบัติได้ แต่บังคับใจใครให้ปฏิบัติตามไม่ได้ สาวกอย่างเราๆต้องถามใจตัวเองเท่านั้นว่า จะใช้ชีวิตนี้เลือกทางสั้น ทางยาว หรือไม่เลือกทางที่จะไปนิพพานเลยสักทาง!”